IRL talk:Japanese Yen
Information from The State of Sarkhan Official Records
Yen Carry Trade
⚠️ ลืมเรื่อง recession ไปก่อน เราอาจเจอ Financial Crisis แทน ‼️ . หลังจากที่เล่าไปแล้วว่า Yen Carry Trade เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤติซับไพร์มในปี 2007 และรอบนี้ก็มีอะไรที่เหมือนเดจาวูในหลายๆเรื่องค่ะ ทั้ง BOJ ขึ้นดอกเบี้ย ทั้งปัญหาที่สะสมแบบไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าขนาดมันเท่าไหร่กันแน่ และการมี Yen Carry Trade อยู่เบื้องหลัง โดยตอนบ่ายที่ผ่านมา Bloomberg ได้เปิดเผยตัวเลขบางตัวที่พอจะทำให้เห็นภาพได้ชัดมากขึ้นค่ะ และมันช่างดูคล้ายกับตอนวิกฤติ 2007-2008 มากๆ แต่สิ่งที่ต่างคือ รอบนี้มีโอกาสหนักกว่าค่ะ . ดังนั้นแล้วถ้าใครเห็นโพสต์นี้ นิคกี้รบกวนแชร์กันออกไปให้มากที่สุดนะคะ เพราะถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เราจะสามารถช่วยเพื่อนนักลงทุนได้อีกเยอะมากๆค่ะ 🥹 . สำหรับใครไม่รู้เรื่องราวเบื้องหลัง ให้ไปอ่านที่โพสต์นี้ก่อนค่ะ . ⚠️ Think The Unthinkable | คิดในสิ่งที่ไม่สามารถคิดได้ | BOJ อาจะเป็นคนเริ่มก่อวิกฤติทั่วโลก ⚠️ . https://m.facebook.com/story.php?id=100063545169952&story_fbid=1041191491342347 . เริ่มที่รูปแรกกันก่อนค่ะ อย่างที่นิคกี้บอกไปแล้วว่า ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าขนาดของการทำ Yen Carry Trade มันเยอะขนาดไหน ดังนั้นสิ่งที่นักวิเคราะห์สามารถพอเอามาใช้เดาๆกันได้คือ ปริมาณการทำ short เยนนั่นเองค่ะ . ซึ่งถ้าดูจากรูป เราจะเห็นชัดๆจากแท่งสีขาวเลยว่า ตอนนี้ Net Yen Short Position อยู่ระดับเดียวกันกับตอนปี 2007 หรือก่อนจะเกิดวิกฤตซับไพร์มพอดีเป๊ะ และถ้าไปดูค่าเงินเยนหรือเส้นสีส้ม เราก็จะพบ pattern ที่คล้ายๆกันก็คือ เยน เริ่มกลับทิศมาแข็งค่าขึ้น ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นการเกิดการย้อนกลับของการทำ Yen Carry Trade ครั้งใหญ่ และทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินของโลกในที่สุดค่ะ (ซึ่งนิคกี้เน้นย้ำนะคะว่าเป็น Financial Crisis ไม่ใช่แค่ recession เฉยๆ) . รูปที่สองค่ะ เป็นปริมาณการ Short-selling เยนโดยธนาคารต่างประเทศที่อยู่ในญี่ปุ่นค่ะ . โดยจากรูปจะเห็นว่าในช่วงวิกฤตปี 2007-2008 การทำ Yen Carry Trade ส่วนใหญ่ก็มาจากธนาคารต่างประเทศในญี่ปุ่นเนี่ยแหละ และส่งเงินกลับไปที่สำนักงานใหญ่ในประเทศของตนเอง . แต่ที่น่าสังเกตคือในตอนนี้ ปริมาณการทำ Short-selling โดยธนาคารต่างประเทศอยู่แค่ประมาณครึ่งนึงของปี 2007 ค่ะ คำถามคือ ทำไมในรูปแรก Net Yen Position ทั้งหมดในตอนนี้ถึงเท่ากับปี 2007 แล้วที่เหลือมันหายไปไหน? . Bloomberg ให้ข้อสังเกตว่าอาจจะกลายเป็นพวก Hedge Fund ต่างหากที่เข้ามามีบทบาทในการทำ Yen Carry Trade มากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีตนั่นเองค่ะ . และนิคกี้บอกเลยว่าเมื่อไหร่ที่มี Hedge Fund เข้ามาเกี่ยวข้อง รับรองได้เลยว่าไม่ใข่การลงทุนแบบปกติแน่นอน มันจะต้องมีการใช้ตราสารอนุพันธ์ต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้อง และลงทุนอะไรที่พิสดารแน่นอน . และส่วนใหญ่เกือบทุกวิกฤติในอดีต จะมี Hedge Fund เนี่ยแหละเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งค่ะ . รูปที่สาม เงินจากการทำ Yen Carry Trade อาจจะไหลไปลงทุนในสหรัฐฯเป็นหลักนั่นเองค่ะ แม้ว่าข้อมูลจะมีจำกัด แต่เมื่อไปดูจากสถิติดุลการชำระเงินของญี่ปุ่นจะพบว่านักลงทุนในญี่ปุ่นได้เข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ของสหรัฐฯมากที่สุด รองลงมาด้วยหมู่เกาะ Cayman และตามมาด้วย Luxembourg . ของสหรัฐฯนั้นไม่มีใครรู้ค่ะว่าไหลไปไหนบ้าง แต่สัญนิษฐานไว้ก่อนได้เลยว่าถ้า hedge fund มีบทบาทจริงๆ เงินจะไม่ได้ไปอยู่แค่ไหนพันธบัตรรัฐบาลแน่นอนค่ะ แต่เงินจะไหลไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงไม่ว่าจะเป็นหุ้น (หุ้นตัวไหนขึ้นมาเยอะๆก็น่าใช่แหละ), Private Equity, Private Credit หรือแม้กระทั่งพวก CMBS ที่เพิ่งมีปัญหาไปก่อนหน้านี้ . ส่วนหมู่เกาะ Cayman สำหรับใครที่ไม่ทราบ หมู่เกาะนี้ก็เป็นแหล่งที่บรรดากองทุน Master Fund ชอบมาจดทะเบียนกัน ซึ่งก็คงนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆทั่วโลกอีกทอดนึง เช่นเดียวกับ Luxembourg ทำเหมือนๆกันค่ะ . ดังนั้นเราจะพอเห็นภาพแล้วว่าเงินมันน่าจะมีการไหลไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงแน่นอนค่ะ และน่าจะเยอะด้วย . รูปที่สี่ ประวัติศาสตร์บอกว่า เยน มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้อีก และการเทขายหุ้นอาจจะยังไม่จบ . ในรูปมีทั้งหมด 3 เส้นค่ะ โดยทั้ง 3 เส้นสะท้อนการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน . โดยเส้นสีฟ้าคือเหตุการณ์การล้มละลายของกองทุน Hedge Fund ชื่อว่า Long-Term Capital Management (LTCM) ในปี 1998 ซึ่งกลายเป็นวิกฤตขนาดย่อมๆ และทำให้สถานบันการเงินทั้งหมด 14 แห่งต้องระดมทุนกันเพื่ออุ้ม LTCM เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤติลุกลาม . แม้ว่าจะมีสาเหตุหลักจากวิกฤติการเงินในเอเชียและรัสเซีย แต่ก็มี Yen Carry Trade เข้ามาเกี่ยวข้องเช่นกันค่ะ . เส้นสีส้ม คือ ของปี 2007 หรือวิกฤตซับไพร์ม และสีขาวคือของปีนี้ (ยังไม่มีชื่อ😂) . เราจะเห็นว่าเมื่อค่าเงินเยนผ่านจุดพีค หรือจุดที่อ่อนค่าที่สุดไปแล้ว เยนมักจะแข็งค่าขึ้นมาได้ถึง 20-25% แต่ว่าในปีนี้ ค่าเงินเยนเพิ่งแข็งค่ามาได้ประมาณ 10% เท่านั้น . ดังนั้นจีงมีโอกาสที่เยนจะแข็งค่าขึ้นได้อีกเยอะ และเมื่อเยนแข็งค่าขึ้นอีก ก็จะกระตุ้นให้มีการถอยกลับของ Yen Carry Trade มากขึ้นไปอีกค่ะ ซึ่งจะหมายถึงการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมามากขึ้น . ซึ่งจากที่เราเห็นว่าในสัปดาห์ที่แล้วจนถึงสัปดาห์ และรูปที่สาม เราน่าจะพอเดาๆได้แล้วว่า หุ้นสหรัฐฯน่าจะโดน หุ้นญี่ปุ่นก็น่าจะโดน หรือแม้กระทั้งทองคำด้วย เพราะก็เจอแรงเทขายออกมา แม้จะเจอทั้ง recession และสงครามก็ตาม . และอย่างที่นิคกี้บอกไปแล้วว่าเราไม่รู้ว่ามูลค่า Yen Carry Trade เยอะแค่ไหน เลยเดาไม่ได้ว่าแรงเทขายจะเยอะได้ขนาดไหน แต่ที่พอจะบอกได้ว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เยนแข็งค่าอีก ให้รอรับแรงกระแทกได้เลยค่ะ . ⚠️ ทางตันของเฟด . เยน แข็งค่าได้ 2 กรณีค่ะ คือ 1. BOJ เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย กับ 2. เฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย (จะเกิดแค่เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งก็ได้) . BOJ มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ เพราะท่านประธานแกมุ่งมั่นมากๆ แต่นิคกี้เตือนไว้ก่อนเลยคะว่า ทุกครั้งที่ BOJ พยายามเลิกนโยบายผ่อนคลายแบบพิเศษ มันจะตามมาด้วยวิกฤติเสมอ และสุดท้าย BOJ ก็ต้องกลับไปลดดอกเบี้ย รวมถึงเกิดการ reverse ของ Yen Carry Trade อีกเช่นกัน . ดังนั้นบอกได้ยากว่า BOJ ซวยทุกที่ขึ้นดอกเบี้ยผิดเวลา หรือ BOJ เนี่ยแหละที่เป็นต้นเหตุของวิกฤติค่ะ . กรณีที่ 2 ที่เยนจะแข็งค่าได้คือ เฟดลดดอกเบี้ย แต่เฟดอาจจะถึงทางตันก็ได้ เพราะถ้าเฟดลดดอกเบี้ยเร็วๆแบบที่ตลาดคาด ค่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว และเร่งให้เกิดการถอยกลับของ Yen Carry Trade ซึ่งจะส่งผลต่อให้มีการเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก . ดังนั้นการลดดอกเบี้ยของเฟดอาจให้ผลลัพธ์เป็นการเทกระจาดของตลาดหุ้นครั้งใหญ่ และอาจลามไปเป็นวิกฤติเศรษฐกิจ หรือ Financial Crisis . แต่ถ้าเฟดไม่ลดดอกเบี้ยล่ะ ก็เจออีก 1 ทางตันค่ะ เพราะเรากำลังเห็นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคแรงงาน และมีโอกาสเดินหน้าเข้าสู่ recession ในอนาคต ดังนั้นถ้าเฟดไม่ลดดอกเบี้ย นิคกี้บอกเลยว่า recession มาแน่นอนค่ะ . คำถามคือ เฟด จะเลือกทางไหนระหว่าง ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการเทขายหุ้นครั้งใหญ่จนอาจจะขึ้น Financial Crisis หรือปล่อยให้สหรัฐฯเกิด recession? . แต่วิธีที่อาจจะง่ายที่สุดก็คือ BOJ กลับไปลดดอกเบี้ยนั่นแหละค่ะ . ดังนั้นเตรียมรับมือกันไว้ให้ดีค่ะ เราอาจจะรอด recession แต่เราจะไปเจอ Financial Crisis แทนค่ะ อย่าเพิ่งรีบเข้าไปช้อนตลาดหุ้นในตอนนี้ เหมือนกับที่หลายๆคนบอกว่าอย่าเพิ่งรีบไปรับมีดที่กำลังร่วงลงมาค่ะ รอให้ทุกอย่างคลี่คลายออกมาก่อน แล้วค่อยเข้าไปซื้อก็ไม่สายเกินไปค่ะ . สำหรับใครที่นึกภาพไม่ออกมา financial crisis เป็นอย่างไร แบบไหน รับมืออย่างไร นิคกี้แนะให้ไปอ่านโพสต์ข้างล่างนี้ค่ะ โดยเฉพาะปี 2007 เพราะรอบนี้เหมือนมากๆเลยค่ะ . 🎯 ลงทุนและปรับพอร์ตอย่างไรหากเกิด recession จริงๆ และตอนนี้เกิด recession แล้วหรือยัง . https://www.facebook.com/story.php?id=100063545169952&story_fbid=1039206931540803 . ปล. ไม่ได้อยากให้ถูกเลยจริงๆ อยากให้เดาผิดมากๆ แต่ยังไงก็ระวังตัวกันได้ดีกว่าค่ะ เพราะถ้าดันเป็นจริงขึ้นมา ความเสียหายมันเยอะค่ะ . ถ้าถามว่าซื้อเมื่อไหร่ นิคกี้เดาว่าจุดปลอดภัยน่าจะเป็นจุดที่เยนแข็งค่าจากจุดสูงสุดมาแล้ว 20% ค่ะ ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่การถอยกลับของ Yen Carry Trade น่าจะหมดแรงแล้วค่ะ (แต่กว่าจะถึงเวลานั้นไม่รู้ตลาดหุ้นจะร่วงไปแค่ไหนนะคะ)